หลายคนที่ใช้งาน Windows 11 อาจพบอาการเครื่องอืด เปิดโปรแกรมช้า หรือแม้กระทั่งค้างบ่อย ๆ เมื่อเปิด Task Manager ขึ้นมาตรวจสอบแล้วพบว่ามีข้อความ Disk 100% แสดงอยู่ ซึ่งหมายความว่าฮาร์ดดิสก์ของคุณกำลังถูกใช้งานเต็มกำลังตลอดเวลา ปัญหานี้สร้างความรำคาญใจให้กับผู้ใช้จำนวนมาก โดยเฉพาะคนที่ต้องทำงานเร่งด่วนหรือเล่นเกมที่ต้องการความลื่นไหล
บทความนี้จึงขอพาคุณมาทำความเข้าใจสาเหตุ และแนะนำ วิธีแก้ไข Disk 100% ใน Windows 11 อย่างเป็นขั้นตอน พร้อมเคล็ดลับพิเศษที่ช่วยให้เครื่องเร็วขึ้นจริง เหมาะสำหรับทั้งมือใหม่และผู้ใช้ระดับโปร
ทำไมถึงเกิดปัญหา Disk 100% ใน Windows 11
ปัญหา Disk 100% ใน Windows 11 มักเกิดจากกระบวนการหรือบริการภายในระบบปฏิบัติการที่ทำงานหนักเกินไปพร้อมกัน เช่น การทำงานของ Windows Search และ SysMain ที่คอยจัดทำดัชนีและคาดเดาการใช้งานแอปพลิเคชัน การอัปเดต Windows ที่ค้างหรือกำลังดาวน์โหลดไฟล์จำนวนมาก การสแกนไวรัสหรือแอนติไวรัสที่ทำงานเบื้องหลังอย่างต่อเนื่อง รวมถึงไฟล์ระบบหรือไฟล์ชั่วคราวจำนวนมากที่สะสมอยู่ในเครื่อง อีกทั้งในบางกรณีฮาร์ดดิสก์แบบเก่าที่เริ่มเสื่อมสภาพหรือมี Bad Sector ก็ทำให้การอ่านเขียนข้อมูลช้าลงและทำให้ตัวระบบพยายามเข้าถึงดิสก์ซ้ำ ๆ จนค่า Disk Usage พุ่งไปถึง 100% ได้แม้จะไม่ได้เปิดโปรแกรมที่ใช้ทรัพยากรมากนักก็ตาม
ปัจจัยหลักที่ทำให้ดิสก์ถูกใช้งานเต็ม
เมื่อดิสก์ถูกใช้งานเต็มตลอดเวลา ระบบปฏิบัติการจะตอบสนองช้าลง ซึ่งสาเหตุอาจมาจากหลายด้าน ดังนี้
-
บริการเบื้องหลัง เช่น Windows Search หรือ SysMain (Superfetch)
-
การอัปเดต Windows ที่ยังไม่สมบูรณ์หรือค้างอยู่
-
ไฟล์ขยะหรือไฟล์ชั่วคราวจำนวนมาก
-
ฮาร์ดดิสก์เสื่อมสภาพ หรือเริ่มมี Bad Sector
-
โปรแกรมแอนติไวรัสหรือแอปพลิเคชันอื่น ที่ทำงานเบื้องหลังหนักเกินไป
อาการที่บ่งบอกว่าเป็นปัญหา Disk 100%
-
เครื่องค้างบ่อยแม้ทำงานเบา ๆ
-
เปิดโปรแกรมใหม่แล้วช้าผิดปกติ
-
เสียงฮาร์ดดิสก์ทำงานตลอดเวลา
-
Task Manager แสดง Disk Usage 100% แม้ไม่ได้ทำอะไร
วิธีแก้ปัญหา Disk 100% ใน Windows 11 อย่างเป็นขั้นตอน
การแก้ปัญหา Disk 100% ใน Windows 11 สามารถทำได้โดยเริ่มจากปิดบริการที่ไม่จำเป็นอย่าง Windows Search และ SysMain (Superfetch) ซึ่งมักใช้ทรัพยากรดิสก์มากเกินไป จากนั้นตรวจสอบ Windows Update ให้มั่นใจว่าไม่มีการอัปเดตค้างหรือดาวน์โหลดอยู่เบื้องหลัง รวมทั้งปรับการตั้งค่าความเป็นส่วนตัวเพื่อลดการส่งข้อมูล Telemetry ที่ทำงานต่อเนื่อง ตรวจสอบโปรแกรมแอนติไวรัสหรือซอฟต์แวร์อื่นที่อาจสแกนดิสก์อย่างหนักและปรับการทำงานให้เหมาะสม ปิดโปรแกรม Startup ที่ไม่จำเป็นเพื่อลดภาระตอนเปิดเครื่อง และหากยังมีอาการควรใช้คำสั่ง chkdsk หรือ sfc /scannow เพื่อซ่อมไฟล์ระบบและตรวจสอบ Bad Sector สุดท้ายถ้าดิสก์ยังคงเต็มบ่อยครั้งควรพิจารณาอัปเกรดไปใช้ SSD ที่ทำงานได้รวดเร็วและเสถียรกว่าเดิมอย่างชัดเจน
ต่อไปนี้คือวิธีแก้ปัญหาที่คุณสามารถทำตามได้ง่าย ๆ ลองทำทีละขั้นตอนแล้วตรวจสอบว่าปัญหาดีขึ้นหรือไม่
ปิด Windows Search เพื่อลดภาระการทำงาน
การปิด Windows Search ใน Windows 11 เป็นหนึ่งในวิธีลดภาระการทำงานของดิสก์ เนื่องจากฟังก์ชันนี้จะทำหน้าที่จัดทำดัชนีไฟล์และค้นหาข้อมูลแบบเรียลไทม์ ซึ่งแม้จะช่วยให้ค้นหาไฟล์ได้เร็วขึ้น แต่ก็ทำให้ดิสก์ถูกใช้งานตลอดเวลา การปิดบริการนี้จึงช่วยลดการเข้าถึงดิสก์อย่างต่อเนื่อง โดยผู้ใช้สามารถปิดชั่วคราวผ่าน Task Manager หรือปิดถาวรผ่านหน้าต่าง Services เพื่อลดการสร้างดัชนีและลดการทำงานเบื้องหลัง ส่งผลให้เครื่องทำงานเบาขึ้นและช่วยแก้ปัญหา Disk Usage 100% ได้อย่างมีประสิทธิภาพในหลายกรณี
ขั้นตอนการปิด Windows Search ชั่วคราว
-
กด Ctrl + Shift + Esc เพื่อเปิด Task Manager
-
ไปที่แท็บ Services
-
เลื่อนหา Windows Search
-
คลิกขวา → เลือก Stop
ปิด Windows Search แบบถาวร
-
กด
Win + R
→ พิมพ์services.msc
→ Enter -
หา Windows Search → ดับเบิลคลิก
-
ในช่อง Startup type เลือก
Disabled
→ กด Stop → Apply
ปิดฟังก์ชัน SysMain (Superfetch)
การปิดฟังก์ชัน SysMain หรือชื่อเดิมว่า Superfetch ใน Windows 11 เป็นอีกหนึ่งแนวทางช่วยลดอาการ Disk Usage 100% เนื่องจากฟังก์ชันนี้จะทำงานโดยคอยคาดเดาว่าผู้ใช้จะเปิดโปรแกรมใดต่อไปแล้วโหลดข้อมูลล่วงหน้าไว้ในหน่วยความจำ แม้จะช่วยให้บางแอปเปิดได้รวดเร็วขึ้น แต่ในบางเครื่องกลับสร้างภาระให้ฮาร์ดดิสก์ทำงานหนักตลอดเวลา การปิด SysMain ผ่านหน้าต่าง Services จะหยุดการทำงานเหล่านี้ ช่วยให้การเข้าถึงดิสก์ลดลงอย่างเห็นได้ชัด และทำให้ระบบโดยรวมตอบสนองเร็วขึ้นและเสถียรกว่าเดิม โดยเฉพาะในเครื่องที่ใช้ฮาร์ดดิสก์แบบจานหมุน
ทำไมต้องปิด SysMain
SysMain ทำหน้าที่พยายามคาดเดาว่าเราจะเปิดโปรแกรมใดต่อไป แล้วโหลดข้อมูลเก็บไว้ใน RAM ล่วงหน้า แม้จะช่วยให้บางโปรแกรมเปิดเร็วขึ้น แต่ก็ทำให้ดิสก์ทำงานหนักตลอดเวลา
วิธีปิด SysMain
-
กด
Win + R
→ พิมพ์services.msc
→ Enter -
หา SysMain → คลิกขวา → Properties
-
เปลี่ยน Startup type เป็น
Disabled
→ กด Stop
ตรวจสอบและจัดการ Windows Update
การตรวจสอบและจัดการ Windows Update เป็นขั้นตอนสำคัญในการแก้ปัญหา Disk Usage 100% เพราะกระบวนการอัปเดตของระบบปฏิบัติการมักจะทำงานเบื้องหลังโดยดาวน์โหลดและติดตั้งไฟล์จำนวนมาก ซึ่งทำให้ดิสก์ถูกใช้งานต่อเนื่องแม้ผู้ใช้ไม่ได้ทำอะไร ดังนั้นควรเข้าไปที่เมนู Settings แล้วเลือก Windows Update เพื่อดูว่ามีการอัปเดตค้างหรือไม่ หากพบควรดำเนินการให้อัปเดตเสร็จสมบูรณ์หรือสั่งพักการอัปเดตชั่วคราวในช่วงที่ต้องการประสิทธิภาพสูง วิธีนี้ช่วยลดภาระของดิสก์ ป้องกันการทำงานวนซ้ำ และทำให้เครื่องทำงานได้เร็วขึ้นอย่างเห็นผล
การอัปเดตค้างทำให้ดิสก์เต็ม
บางครั้ง Windows Update ทำงานเบื้องหลังอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ Disk Usage พุ่งสูง ลองตรวจสอบดังนี้
วิธีจัดการ Windows Update
-
เปิด Settings → เลือก Windows Update
-
ตรวจสอบว่ามีการอัปเดตค้างหรือไม่
-
หากมีให้กด Update Now ให้เสร็จ
-
หรือ Pause updates ชั่วคราวเพื่อลดการทำงานของดิสก์
ปรับการตั้งค่าความเป็นส่วนตัวและ Telemetry
การปรับการตั้งค่าความเป็นส่วนตัวและ Telemetry ใน Windows 11 ช่วยลดการทำงานเบื้องหลังที่ไม่จำเป็น ซึ่งระบบจะเก็บรวบรวมข้อมูลการใช้งานและส่งกลับไปยังเซิร์ฟเวอร์ของไมโครซอฟท์เพื่อนำไปปรับปรุงบริการ กระบวนการนี้แม้จะช่วยพัฒนาประสบการณ์การใช้งาน แต่ก็ทำให้เกิดการอ่านเขียนข้อมูลในดิสก์ตลอดเวลา การเข้าไปตั้งค่าในเมนู Privacy & Security แล้วเลือกส่งเฉพาะข้อมูลที่จำเป็นหรือปิดฟีเจอร์บางอย่างอย่างเช่น Improve inking & typing จะช่วยลดปริมาณงานเบื้องหลัง ลดภาระการเข้าถึงดิสก์ และช่วยให้เครื่องทำงานลื่นขึ้นโดยไม่กระทบการใช้งานหลัก
ปิดฟีเจอร์เก็บข้อมูลที่ไม่จำเป็น
-
ไปที่ Settings → Privacy & security → Diagnostics & feedback
-
เลือก Required diagnostic data เท่านั้น
-
ปิด Improve inking & typing และตัวเลือกการส่งข้อมูลอื่น ๆ
ตรวจสอบโปรแกรมแอนติไวรัส
การตรวจสอบโปรแกรมแอนติไวรัสใน Windows 11 เป็นขั้นตอนที่ควรทำเมื่อพบอาการ Disk Usage 100% เพราะบางครั้งโปรแกรมแอนติไวรัสหรือซอฟต์แวร์รักษาความปลอดภัยจะทำงานสแกนไฟล์และระบบอยู่เบื้องหลังอย่างต่อเนื่องจนใช้ทรัพยากรดิสก์มากเกินไป ผู้ใช้ควรเปิด Task Manager เพื่อตรวจสอบว่าโปรแกรมแอนติไวรัสที่ใช้อยู่กำลังใช้ดิสก์สูงผิดปกติหรือไม่ หากใช่สามารถตั้งเวลาให้สแกนในช่วงที่ไม่ใช้งานหรือปิดฟังก์ชันสแกนแบบเรียลไทม์ชั่วคราวเพื่อลดภาระ นอกจากนี้ควรมั่นใจว่าโปรแกรมแอนติไวรัสอัปเดตเป็นเวอร์ชันล่าสุดเพราะบางครั้งปัญหาเกิดจากบั๊กของซอฟต์แวร์ การปรับแต่งและจัดการให้เหมาะสมจะช่วยลดการทำงานของดิสก์และเพิ่มประสิทธิภาพของเครื่องได้ทันที
วิธีสังเกตว่าแอนติไวรัสกินทรัพยากร
-
เปิด Task Manager แล้วดูว่าโปรแกรมแอนติไวรัสใช้ Disk สูงหรือไม่
-
หากใช้งานแอนติไวรัสภายนอก ลองตั้งเวลา Scan ใหม่ หรือปิดชั่วคราวเพื่อตรวจสอบผล
ปิด Startup Programs ที่ไม่จำเป็น
การปิด Startup Programs ที่ไม่จำเป็นใน Windows 11 เป็นวิธีลดภาระการทำงานของระบบตั้งแต่เปิดเครื่อง เพราะโปรแกรมหลายตัวมักถูกตั้งค่าให้เริ่มทำงานอัตโนมัติพร้อมกับระบบ ซึ่งจะกินทรัพยากรทั้งซีพียูและดิสก์โดยไม่รู้ตัว เมื่อปิดการเริ่มต้นของโปรแกรมที่ไม่จำเป็นผ่าน Task Manager แท็บ Startup จะช่วยให้เวลาบูตเครื่องสั้นลง ดิสก์ไม่ถูกใช้งานหนักตั้งแต่แรก และลดโอกาสเกิดอาการ Disk Usage 100% ในระหว่างการใช้งาน ทำให้เครื่องตอบสนองรวดเร็วและเสถียรกว่าเดิม
ขั้นตอนการปิด
-
เปิด Task Manager → ไปที่แท็บ Startup
-
ตรวจสอบโปรแกรมที่ขึ้นว่า Enabled
-
คลิกขวาโปรแกรมที่ไม่จำเป็น → เลือก Disable
ตรวจสอบดิสก์จริง ๆ ด้วยคำสั่ง CHKDSK
การตรวจสอบดิสก์จริง ๆ ด้วยคำสั่ง CHKDSK ใน Windows 11 เป็นขั้นตอนสำคัญในการค้นหาและแก้ไขปัญหาที่เกิดจากความผิดปกติของฮาร์ดดิสก์ เช่น Bad Sector หรือไฟล์ระบบที่เสียหาย ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ Disk Usage พุ่งสูงถึง 100% โดยผู้ใช้สามารถเปิด Command Prompt ในโหมดผู้ดูแลระบบแล้วพิมพ์คำสั่ง chkdsk /f /r จากนั้นรีสตาร์ทเครื่อง ระบบจะทำการสแกนและซ่อมแซมข้อผิดพลาดบนดิสก์โดยอัตโนมัติ ช่วยให้ดิสก์กลับมาทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพและลดอาการเครื่องช้าหรือค้างลงได้
คำสั่งตรวจสอบ Bad Sector
-
เปิด Command Prompt แบบผู้ดูแลระบบ (Admin)
-
พิมพ์คำสั่ง:
chkdsk /f /r
-
ระบบจะถามให้รีสตาร์ทเครื่อง เมื่อรีสตาร์ท Windows จะทำการตรวจสอบและซ่อมแซมดิสก์
ใช้ SFC ซ่อมไฟล์ระบบ
การใช้ SFC หรือ System File Checker ใน Windows 11 เป็นวิธีซ่อมไฟล์ระบบที่เสียหายหรือสูญหายซึ่งอาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดอาการ Disk Usage 100% เพราะเมื่อไฟล์ระบบทำงานผิดพลาด ระบบจะพยายามเข้าถึงหรือโหลดซ้ำอยู่ตลอดเวลา ผู้ใช้สามารถเปิด Command Prompt ในโหมดผู้ดูแลระบบแล้วพิมพ์คำสั่ง sfc /scannow เพื่อให้ระบบทำการตรวจสอบไฟล์ทั้งหมดและแทนที่ไฟล์ที่เสียหายด้วยไฟล์ที่ถูกต้องจากแคชของระบบ กระบวนการนี้ช่วยฟื้นฟูความสมบูรณ์ของ Windows ลดปัญหาการเข้าถึงดิสก์ผิดปกติ และทำให้เครื่องกลับมาทำงานได้อย่างเสถียรและรวดเร็วอีกครั้ง
ขั้นตอน
-
เปิด Command Prompt แบบ Admin
-
พิมพ์:
sfc /scannow
-
รอจนกระบวนการเสร็จ แล้วรีสตาร์ทเครื่อง
เทคนิคเสริมเพื่อให้ Windows 11 ทำงานเร็วขึ้น
เทคนิคเสริมเพื่อให้ Windows 11 ทำงานเร็วขึ้นคือการดูแลและปรับแต่งระบบอย่างต่อเนื่อง เช่น ล้างไฟล์ขยะและไฟล์ชั่วคราวที่ไม่จำเป็นออกจากเครื่องเพื่อลดการทำงานของดิสก์ ปรับแต่งการทำงานของเอฟเฟกต์ภาพให้เหมาะสมกับสเปกของคอมพิวเตอร์ ใช้เครื่องมืออย่าง Storage Sense ช่วยจัดการพื้นที่อัตโนมัติ ปรับการตั้งค่าแผนพลังงานให้เป็นโหมดประสิทธิภาพสูง และถ้าใช้งานฮาร์ดดิสก์แบบเก่าให้พิจารณาอัปเกรดไปใช้ SSD รวมถึงเพิ่มหน่วยความจำ RAM ให้เพียงพอต่อการใช้งานจริง สิ่งเหล่านี้ช่วยให้ระบบโดยรวมตอบสนองรวดเร็วขึ้น ลดการค้าง และยืดอายุการใช้งานของอุปกรณ์ได้อย่างเห็นผล
ล้างไฟล์ขยะและ Temporary Files
-
กด
Win + R
→ พิมพ์%temp%
→ ลบไฟล์ทั้งหมดในโฟลเดอร์ -
ใช้ Disk Cleanup หรือ Storage Sense ใน Settings
อัปเกรดฮาร์ดแวร์
-
ถ้ายังใช้ HDD ควรอัปเกรดเป็น SSD จะช่วยให้ลดปัญหา Disk 100% อย่างถาวร
-
เพิ่ม RAM ให้เพียงพอต่อการใช้งาน
สรุปแนวทางแก้ Disk 100% ใน Windows 11
Checklist วิธีแก้ไข
-
ปิด Windows Search
-
ปิด SysMain (Superfetch)
-
ตรวจสอบ Windows Update
-
ปรับ Telemetry
-
จัดการแอนติไวรัสและ Startup Apps
-
ตรวจสอบและซ่อมไฟล์ระบบ
-
ล้างไฟล์ขยะ
-
อัปเกรด SSD ถ้าจำเป็น
เหตุผลที่ควรแก้ไขทันที
เมื่อแก้ปัญหา Disk 100% แล้ว คุณจะได้ระบบที่ทำงานลื่นขึ้น ประหยัดเวลาในการทำงาน ลดความรำคาญ และยืดอายุการใช้งานของฮาร์ดดิสก์
เคล็ดลับพิเศษ
-
หมั่นสแกนดิสก์เดือนละครั้ง
-
ตั้งเวลาอัปเดต Windows ในช่วงเวลาที่ไม่ใช้งาน
-
สำรองข้อมูลสำคัญเสมอ
บทส่งท้าย
ปัญหา Disk Usage 100% ใน Windows 11 เป็นสิ่งที่ผู้ใช้งานจำนวนมากต้องเผชิญ แต่คุณสามารถแก้ไขได้ด้วยวิธีที่อธิบายไปทั้งหมดนี้ หากทำตามครบถ้วน เครื่องของคุณจะกลับมาทำงานรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
✨ ลองทำทีละขั้นตอน แล้วแชร์ประสบการณ์ของคุณได้เลย
บริการ ซ่อมคอมออนไลน์ มืออาชีพ แก้ปัญหาคอมพิวเตอร์ผ่านอินเทอร์เน็ตได้ทุกที่ ไม่ต้องยกเครื่อง ทีมช่างผู้เชี่ยวชาญพร้อมช่วยคุณ 24 ชั่วโมง ซ่อมไว ปลอดภัย มั่นใจได้
ค้นพบพลังบำรุงผิวจากธรรมชาติด้วย Centella Bio Face Serum เซรั่มใบบัวบกเข้มข้น ที่ช่วยฟื้นฟูผิวให้แข็งแรง ลดเลือนรอยสิว รอยแดง และเติมความชุ่มชื้นได้อย่างล้ำลึก ให้ผิวเรียบเนียน กระจ่างใส เปล่งประกายสุขภาพดีทุกวัน